วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557


บทที่ 11 การยศาสตร์






การยศาสตร์
คือ กฏของงานซึ่งเป็นศาสตร์หรือวิชาการการยศาสตร์ คือ กฏของงานซึ่งเป็นศาสตร์หรือวิชาการที่เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพงานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน
มาตรฐานและการออกแบบสถานีงานที่ใช้คอมพิวเตอร์
 ท่าทางที่สามารถก่อให้เกิดอันตราย ได้แก่ การโน้มตัวไปข้างหน้า การยืดแขนมากเกินไป การนั่งเก้าอี้ต่ำหรือสูงเกินไป
มาตรฐานและการออกแบบสถานีงานที่ใช้คอมพิวเตอร์
ท่าทางที่สามารถก่อให้เกิดอันตราย ได้แก่ การโน้มตัวไปข้างหน้า การยืดแขนมากเกินไป การนั่งเก้าอี้ต่ำหรือสูงเกินไป
การวัดสัดส่วนร่างกายสำหรับการออกแบบสถานีทำงานการออกแบบสถานีงาน ต้องพิจารณาจากสัดส่วนร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน


1. การจัดสุขภาวะให้เหมาะแก่การทำงาน
1.เมื่ออยู่ในท่าทำงานสามารถตั้งศีรษะได้ตรง
2.สายตามองไปด้านหน้าได้สะดวก จอภาพอยู่ต่ำเล็กน้อยกว่าระดับสายตา
3.กล้ามเนื้อไหล่ผ่อนคลาย
4.มือทั้งสองข้างอยู่ในแนวเดียวกันกับแขน
5.หลังตั้งตรงพอดีกับที่พักหลัง
6.เอกสารอยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการมอง
7.เท้าทั้งสองข้างสามารถวางได้พอดี

2.  การจัดแสงสว่างในการทำงานกับคอมพิวเตอร์
1.ความสว่างเหมาะสมกับลักษณะงาน
2.การเลือกชนิดของอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น หลอดไฟ
3.ปรับตำแหน่งของจอภาพให้อยู่ในแนวขนาน
4.อัตราส่วนระหว่างระยะห่างของโคมไฟ



ปัญหาสุขภาพ
ความผิดปกติของผิวตา เกิดจากแสงสว่างที่มากหรือน้อยเกินไป ,การปรับโฟกัส เกิดได้จากขนาดของตัวหนังสือ , การจัดวางคอมพิวเตอร์ เช่น ระยะห่างตากับจอภาพ




https://www.youtube.com/watch?v=dqdGlK-P1vQ




แนวทางการแก้ไข 
1.สถานที่ทำงาน (ควรใช้จอแบบเพื่อลดการสะท้อนแสง , ปรับความสว่างและตวามแตกต่างของสี , เลือกใช้ตัวอักษรเข้มบนพื้นจอสีอ่อน , จัดจอภาพให้มีระยะห่างจากตา)
2.แสงสว่างไม่ควรอยู่ด้านหน้าและด้านหลังควรอยู่ด้านข้างจอภาพ
3.การพักสายตา.ควรหยุดทำงานและลุกขึ้นเดิน
4.การปรับพฤติกรรมการใช้สายตา(การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา )

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อเรื้อรัง

1.ท่านั่งทำงานไม่เหมาะสม
2.กล้ามเนื้อมีการทำงานมากเกินไป
3.ขาดการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง

เคล็ดลับป้องกันโรคจากคอมพิวเตอร์
การปรับแต่งสภาพแวดล้อม

1.คีย์บอร์ด ตรวจสอบว่าคีย์บอร์ดของคุณว่าอยู่ในระดับที่แขนเหมาะสมหรือเปล่า ต้องมั่นใจว่าข้อศอกอยู่ในมุมที่เปิด90องศา  ตำแหน่งที่นั่งต้องอยู่ตรงกลางคีย์บอร์ด
2.จอคอมพิวเตอร์  ควรปรับแสงสว่างจอภาพให้พอดี  ปรับหน้าจอให้แหงนขึ้นเรียบร้อย
3.เก้าอี้ เบาะเก้าอี้ไม่ควรแหงนขึ้น
4.แสง โคมไฟบนโต๊ะทำงานควรใช้แสงสีขาว  หลอดไฟควรมีแสงสว่างในโทนเดียวกัน 




https://www.youtube.com/watch?v=dqdGlK-P1vQ

บทที่ 10 ความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์




ความปลอดภัย
 หมายถึง เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน และตรวจสอบการเข้าใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ขั้นตอนการป้องกันจะช่วยให้ผู้ที่ใช้งานสกัดกั้นไม่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกเข้าใช้งานโดยผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ์
ความเป็นส่วนตัว 
หมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้ใช้ได้ครอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์การต่างๆ

อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
พนักงาน หรือลูกจ้าง
- Hacker
- Cracker
บุคคลภายนอก

รูปแบบอาชญากรรม
การปลอมแปลงข้อมูล / บัตรเครดิต
การลักลอบเข้าระบบผ่านทางการสื่อสารข้อมูล
การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีสิทธิ
การทำสำเนาซอฟแวร์ที่มีลิขสิทธิ์

ความปลอดภัยของเครื่องคอมพิวเตอร์
การป้องกันโจรกรรม
การใช้งานอย่างระมัดระวัง
การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าสำรอง
การป้องกันความเสียหาย

ความปลอดภัยของซอฟแวร์
- Freeware
- Shareware Trial Ware

ชนิดของไวรัส
ไวรัสบูตเซ็กเตอร์
ไวรัสคลัสเตอร์
ไวรัสมาโคร
เวิร์ม
บอมบ์
ม้าโทรจัน

ความเสียหายจากไวรัส
ทำลายข้อมูล
ขโมยข้อมูลสำคัญ
ก่อความรำคาญ
ทำให้เครื่องช้า

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
-พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
-การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
-การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ

การป้องกันคอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัย



ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ควรมีความรู้และปฏิบัติตามในการรักษาคอมพิวเตอร์ ข้อมูลส่วนตัว ประวัติการท่องอินเทอร์เน็ต เลขบัตรเครดิตและข้อมูลอื่นๆ ให้ปลอดภัย โดยผู้ใช้งานควรระมัดระวังในเรื่องของโปรแกรมหรือผู้คนที่ให้ความมั่นใจว่าสามารถที่จะปกป้องดูแลความปลอดภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการดูแลรักษาความปลอดภัยนั้นต้องมีทั้งโปรแกรมป้องกันภัยที่ดีและลักษณะพฤติกรรมการใช้งานที่ดีด้วย เช่น ควรที่จะต้องรู้ว่าสิ่งใดไม่ควรให้ผู้อื่นเข้าถึงได้ในขณะที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ใครที่ควรไว้วางใจ และการรักษาความปลอดภัยอื่นๆที่เทคโนโลยีไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ซึ่งผู้ใช้งานควรจะต้องมองหาโปรแกรมที่ตอบโจทย์การใช้งานของตัวผู้ใช้เองมากที่สุดและในขณะเดียวกันต้องสามารถปกป้องคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
แนวทางการรักษาคอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัย มีดังต่อไปนี้
1. ระบบปฏิบัติการต้องอัพเดตอยู่เสมอ
ผู้ใช้งานต้องคอยหมั่นตรวจสอบดูแลให้ระบบปฏิบัติการ (Operating system) ของคอมพิวเตอร์นั้นทันสมัยอยู่เสมอ ผู้พัฒนาระบบจะมีการแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานอัพเดตระบบอยู่เป็นระยะๆ  ซึ่งอาจจะเป็นการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติเมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องอัพเดตระบบหรือผู้ใช้งานอาจส่งคำขอไปที่ผู้พัฒนาระบบเพื่อขออัพเดตระบบได้ด้วยตนเองหรือปรับตั้งค่าที่หน้าการตั้งค่าของระบบเองก็ได้ การอัพเดตระบบเหล่านี้จะช่วยทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น และสามารถแก้ไขช่องโหว่ของความปลอดภัยที่บางครั้งโปรแกรมตัวก่อนๆ นั้นไม่สามารถปกป้องได้ แต่อาชญากรนั้นก็สามารถที่จะเรียนรู้และค้นพบช่องโหว่ของความปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ก่อนที่ผู้พัฒนาโปรแกรมจะแก้ไขได้ทัน ดังนั้นการแก้ไขหรือซ่อมแซมโปรแกรมอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีถือเป็นสิ่งที่ดี และถือเป็นโชคดีที่ระบบปฏิบัติการส่วนใหญ่สามารถที่จะดูแลระบบของตนเองให้ทันสมัยอยู่เสมอและปลอดภัยได้เป็นอย่างดี และคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานก็จะปลอดภัยหากคุณหมั่นอัพเดตระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ
การติดตั้งโปรแกรมอัพเดตระบบปฏิบัติการลงบนคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เหตุเพราะคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ที่ซื้อมาจากร้านนั้นอาจวางอยู่ที่ร้านมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้วก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า ระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นอาจล้าหลังและไม่ได้รับการอัพเดต ดังนั้นเมื่อซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ผู้ใช้งานควรสละเวลาอัพเดตระบบปฏิบัติการของเครื่องเพื่อช่วยให้คอมพิวเตอร์ปลอดภัยยิ่งขึ้น

2. บัญชีผู้ใช้และพาสเวิร์ด
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องควรจะมีบัญชีผู้ใช้ไว้สำหรับทำการล็อกอินเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งบัญชีผู้ใช้จะเปรียบเสมือนปราการด่านแรกในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและฟังก์ชั่นต่างๆในคอมพิวเตอร์  ดังนั้น ผู้ใช้งานควรสร้างรหัสผ่านหรือพาสเวิร์ดของทุกๆบัญชีผู้ใช้ด้วยเพื่อให้ยากต่อการที่ผู้ใช้งานคนอื่นๆจะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน

3. การป้องกันทางกายภาพ
            ผู้คนมากมายไม่ได้ตระหนักเลยว่าข้อมูลส่วนตัวของตนเองนั้นมีมูลค่ามหาศาลสำหรับบุคคลอื่น หากผู้ใช้งานกำลังกำลังทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่ที่ไม่รู้จักคุ้นเคยหรือที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ใช้งานก็จะต้องคอยดูแลทรัพย์สินเป็นอย่างดีโดยไม่ให้คลาดสายตา ซึ่งคอมพิวเตอร์ก็ใช้หลักการเดียวกัน ลองคิดสักนิดว่าจะอันตรายมากแค่ไหนถ้าหากข้อมูลในคอมพิวเตอร์ตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี ผู้ใช้งานควรระลึกเสมอว่าได้เก็บข้อมูลสำคัญอะไรเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ และหากมีคนมาขโมยข้อมูลนั้นไป เขาจะเอามันไปทำอะไรหรือใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ผู้ใช้งานควรตระหนักด้วยว่า พาสเวิร์ดนั้นเพียงแค่ช่วยปกป้องให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ได้ช้าลงเท่านั้น แต่มันจะไม่สามารถช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานได้ถ้าหากระบบทั้งระบบถูกทำลายไป  การเข้าถึงคอมพิวเตอร์โดยตรงคือวิธีที่ง่ายที่สุดในการเข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ (โดยการใช้คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง) โดยที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้แม้กระทั่งพาสเวิร์ดตัวแรกของผู้ใช้งานด้วยซ้ำ ถ้าหากข้อมูลในโน้ตบุ๊คของผู้ใช้งานมีมูลค่ามาก ผู้ใช้งานยิ่งต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว และยิ่งต้องให้ความสนใจมากขึ้นไปอีก หากผู้ใช้งานให้คนอื่นยืมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้งานจะเชื่อใจบุคคลที่ให้ยืมมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะคอยควบคุมให้เขาใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างระมัดระวังและปลอดภัยเท่าตัวเอง

4. ใช้โปรแกรมแอนติไวรัส
ถ้าหากผู้ใช้งานใช้โปรแกรมวินโดวส์ของไมโครซอฟต์ ควรใช้โปรแกรมแอนติไวรัสและหมั่นอัพเดตมันอยู่เสมอ เพราะมีโปรแกรมชนิดหนึ่งที่ชื่อว่ามัลแวร์ ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อขโมยข้อมูลหรือเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานในทางที่ไม่ดี ไวรัสและมัลแวร์เหล่านี้สามารถเข้าถึงระบบ เปลี่ยนแปลงระบบและฝังตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ มันสามารถเข้ามาอยู่ในคอมพิวเตอร์ผ่านทางอีเมล์ เว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานเข้าชม หรือมาพร้อมกับไฟล์ที่ผู้ใช้งานไม่คิดว่ามันจะเป็นอันตราย ผู้ให้บริการโปรแกรมแอนติไวรัสจะทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับตัวคุกคาม (Threat) ที่ขึ้นเกิดขึ้นอยู่เสมอและเพิ่มมันเข้าไปในบัญชีที่คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานต้องสกัดกั้น ในการที่จะทำให้โปรแกรมสามารถตรวจจับตัวคุกคามใหม่ๆได้ตลอด ผู้ใช้จึงจำเป็นที่จะต้องอัพเดตโปรแกรมแอนติไวรัสอย่างสม่ำเสมอ 

5. อุปกรณ์บันทึกข้อมูลภายนอกและอุปกรณ์บันทึกข้อมูลขนาดพกพา
การส่งผ่านของไวรัสผ่านทางแฟลชไดร์ฟหรือช่องแนบข้อมูลของอีเมล์สามารถทำได้อย่างง่ายดายและส่วนใหญ่ตัวไวรัสเองมักจะเป็นตัวที่ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ด้วยตัวของมันเองแทนที่จะเป็นเจ้าของอีเมล์หรือแฟลชไดร์ฟนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟต์วินโดวส์ ผู้ใช้ควรระมัดระวังในการเสียบแฟลชไดร์ฟเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือให้บุคคลอื่นยืมไปใช้ ซึ่งบริษัทไมโครซอฟต์เองก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับการที่คอมพิวเตอร์มีการตั้งค่าให้เปิดแฟลชไดร์ฟเองโดยอัติโนมัติ  ซึ่งนั่นทำให้วินโดวส์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ผู้ใช้ก็ไม่ควรที่จะเปิดไฟล์ที่ตนเองไม่รู้จักหรือไม่น่าไว้วางใจ

6. เลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่น่าเชื่อถือและซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์ส
ผู้ใช้ควรเลือกใช้โปรแกรมจากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ หรือเลือกใช้โปรแกรมแบบโอเพ่นซอร์ส (Open source software) คือซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ที่มีไลเซนส์แบบโอเพ่นซอร์ส ซึ่งมีลักษณะต่างจากซอฟต์แวร์ทั่วไป คือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จะอนุญาตให้ผู้ใช้ติดตั้งและใช้งานได้โดยไม่จำกัดจำนวนและรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนตัว ในเชิงธุรกิจหรือในองค์กร มีการเผยแพร่ต้นฉบับ (Source code) ของซอฟต์แวร์เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขดัดแปลงให้ตรงความต้องการได้ ซึ่งซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์สนี้มีข้อดีอยู่ด้วยกันหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะไม่มีค่าใบอนุญาต (License) และไม่เสี่ยงต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ สามารถแก้ไขโปรแกรมให้ตรงกับความต้องการของตัวเองหรือขององค์กรได้ทันที สามารถทำร่วมกันกับซอฟต์แวร์อื่นๆได้เป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับซอฟต์แวร์แบบโคลสซอร์ส (Closed source software) หรือซอฟท์แวร์ลิขสิทธ์ที่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งบางครั้งประเทศที่ผู้ใช้งานอาศัยอยู่ก็ไม่สามารถโหลดซอฟต์แวร์นั้นๆ หรือตัวอัพเดตซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้ และซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ส่วนมากมักมีไวรัสติดมาด้วย

7. การทำลายข้อมูลในคอมพิวเตอร์อย่างปลอดภัย
                                    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานและจัดเก็บข้อมูล ในเวลาที่เราดาวน์โหลดรูปภาพหรือคลิปวีดิโอ รูปภาพหรือคลิปวีดิโอเหล่านั้นก็จะถูกจัดเก็บเอาไว้ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องหรือที่เก็บข้อมูลขนาดพกพาจนกว่าผู้ใช้จะไม่ต้องการและจัดการลบข้อมูลทิ้งไป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ใช้ลบด้วยวิธีการลบแบบเบื้องต้นอาจไม่เพียงพอหากข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่เป็นความลับสำคัญหรือเป็นข้อมูลที่ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ เพราะข้อมูลที่ถูกลบไปแล้วนั้น ยังสามารถกู้กลับมาได้ใหม่อีกครั้งหากไม่ใช้วิธีการลบขั้นสูงหรือใช้โปรแกรมที่ช่วยในการลบข้อมูลโดยสมบูรณ์ ดังนั้น ผู้ใช้งานจึงควรมีโปรแกรมช่วยลบติดคอมพิวเตอร์ไว้สักหนึ่งตัวหากต้องการลบไฟล์ข้อมูลที่สำคัญหรือเป็นความลับ
โปรแกรมช่วยลบข้อมูลโดยสมบูรณ์มีอยู่หลายโปรแกรม มีคุณสมบัติช่วยลบไฟล์ข้อมูลที่ไม่ต้องการได้อย่างถาวร โดยไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้อีก โดยแต่ละตัวนั้นก็จะมีวิธีการดำเนินการลบข้อมูลที่หลากหลาย และมีขั้นตอนการใช้งานที่ยากง่ายแตกต่างกันออกไป โดยในที่นี้จะขอยกตัวอย่างบางโปรแกรมที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากในการใช้งาน
Data Shredder
เดต้า เชร็ดเดอร์ คือโปรแกรมทำลายข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการลบข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) หรือที่เก็บข้อมูลขนาดพกพาอื่นๆ เช่น USB โดยโปรแกรมนี้จะช่วยให้เราลบข้อมูลที่เราไม่ต้องการโดยสมบูรณ์และไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ใหม่ โปรแกรมนี้จะมีวิธีการทำงานที่แตกต่างออกไปจากโปรแกรมลบข้อมูลตัวอื่นๆ เพราะมันจะใช้วิธีการเขียนทับไฟล์ข้อมูลที่ต้องการลบ ทำให้ข้อมูลเก่าเสียไปและไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีก โดยผู้ที่ใช้งานระบบวินโดวส์ (Windows) สามารถเข้าดาวน์โหลดได้ที่ www.fileshredder.org วิธีเรียกใช้งานโปรแกรมก็ง่าย เพียงแค่คลิกขวาบนไฟล์ โปรแกรมก็จะปรากฏขึ้นมาให้เลือกใช้ได้โดยสะดวก การลบไฟล์ด้วย Data Shredder มีขั้นตอนดังนี้

1. คลิกขวาบนไฟล์ที่ต้องการลบ > เลือก File Shredder > เลือก Secure delete files
2. จะปรากฏหน้าต่างถามว่าต้องการที่จะลบไฟล์ดังกล่าวจริงๆหรือไม่
3. หลังจากกดยืนยัน โปรแกรมจะทำการลบไฟล์ดังกล่าว เวลาในการดำเนินงานจะขึ้นอยู่กับขนาดของไฟล์นั้นๆ

      โปรแกรม Erase Free Space
         สำหรับผู้ใช้งานแมคบุ๊ค (Mac Book) ก็มีโปรแกรมที่มาพร้อมกับเครื่องให้เลือกใช้สำหรับลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ได้ทันที โดยทำตามขั้น
           ตอนดังต่อไปนี้

1. เข้าไปที่โฟลเดอร์ Utilities >  เลือก Disk Utility
2. จะปรากฏหน้าต่างตามภาพด้านล่าง เลือก Macintosh HD ทางด้านซ้ายมือ > เลือกปุ่ม Erase ปุ่มที่สองตรงกรอบสีเทา > เลือก Erase Free Space ที่อยู่ด้านล่าง

3. จะปรากฏหน้าต่างเด้งลงมาตามภาพ จะมีตัวเลือกให้เลือกสามตัว ซึ่งจะสามารถลบข้อมูลได้สมบูรณ์มากขึ้นและใช้เวลาในการดำเนินการมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น เลือกตัวเลือกที่เหมาะสมกับข้อมูลที่คุณต้องการลบและเวลาที่คุณมีให้มากที่สุด จากนั้นคลิกปุ่ม Erase Free Space ก็เสร็จเรียบร้อย





https://www.youtube.com/watch?v=cZApXr5fho8

บทที่ 9 การใช้งานกูเกิ้ลแอพพลิเคชั่น





      กูเกิ้ล เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านการสืบค้นข้อมูล (search engine) ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นอกจากให้บริการสืบค้นข้อมูลแล้ว กูเกิ้ลยังได้พัฒนาโปรแกรมไว้สำหรับผู้ใช้มากมาย กูเกิ้ลแอพพลิเคชั่น (Google Application) เป็นอีกระบบการที่ทางกูเกิ้ลได้จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทั่วไปสำหรับการทำงานผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่จำเป็นจะต้องการอุปกรณ์มากมาย เพียงแต่มีมีระบบอินเทอร์เน็ตรองรับ ผู้ใช้สามารถที่จะทำงานหรือปรับปรุงข้อมูลต่างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น การจัดการเอกสาร การจัดทำตารางคำนวณ การจัดตารางเวลา การแลกเปลี่ยนไฟล์ หรือแม้กระทั่งการจัดสร้างเว็บ เป็นต้น นอกจากนี้เรายังสามารถที่จะแชร์เอกสารเหล่านี้ให้แก่คนอื่นได้ การใช้งานกูเกิ้ลแอพพลิเคชั่น นั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นจะต้องเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้บนกูเกิ้ลแอพพลิเคชั่นได้เลย หลังจากนั้นหากต้องการใช้เพียงแต่มีอินเทอร์เน็ตผู้ใช้สามารถที่จะทำงานได้อย่างสบายข้อกำหนดหลักอย่างหนึ่งของกูเกิ้ลคือ ผู้ใช้จำเป็นจะต้องมีบัญชีผู้ช้ของทางกูเกิ้ล นั่นคือ จีเมล (gmail) กูเกิ้ลแอพพิลเคชั่น ประกอบโปรแกรมย่อยหลายตัว  ไม่ว่าจะเป็น แผนที่ (google map)จดหมายอิเล็กทรอนิกส์(E-mail)กูเกิ้ลดอคคิวเมนท์ ปฏิทิน กลุ่ม (group) บริการเว็บ (sites)

1.กูเกิ้ลเมล



   1.    ลดการเก็บข้อมูลในอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยง แอปพลิเคชันบนเบราว์เซอร์ช่วยให้ข้อมูลที่มีความสำคัญได้รับความปลอดภัยมากกว่า ต่างจากซอฟต์แวร์แบบเดิม คือเมื่อผู้ใช้สิ้นสุดการใช้แอปพลิเคชันแบบเว็บ จะมีข้อมูลที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลเหลือในเครื่องเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้อย่างปลอดภัยจากเบราว์เซอร์ใดก็ได้ ลดโอกาสในการเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องหรืออุปกรณ์ที่ไม่มีความปลอดภัย เช่น ธัมบ์ไดรฟ์ ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสูญหาย และไวรัสทำให้ข้อมูลสูญหาย การทำให้สามารถใช้งานข้อมูลได้อย่างปลอดภัยจากเบราว์เซอร์ และลดปริมาณการเสี่ยงของข้อมูลที่เก็บไว้ในอุปกรณ์ คือยุทธศาสตร์การรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ

        
  2.    ระบบคลาวด์ของ Google ช่วยให้ทำงานร่วมกันได้เร็วกว่า เนื่องจากข้อมูลใน Google Apps นั้นเก็บไว้ในคลาวด์ แทนที่จะเป็นคอมพิวเตอร์ของพนักงาน ทำให้ผู้ใช้หลายคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการทำงานพร้อมกัน โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการใช้ระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์ หรือเบราว์เซอร์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น แทนที่จะทำงานร่วมกันในเอกสารด้วยการส่งการแก้ไขกลับไปกลับมาในรูปของไฟล์แนบ ก็จะสามารถเก็บเอกสารไว้ในคลาวด์ด้วย Google Apps เพื่อนร่วมงานสามารถเข้าถึงเอกสารทางเว็บได้พร้อมกันในเบราว์เซอร์ของตนเอง และสามารถแก้ไขเอกสารได้ การขจัดการรับส่งเอกสารเป็นไฟล์แนบด้วยการเก็บข้อมูลในคลาวด์ช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากของการทำงานที่ต้องการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

         
  3.    สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจากที่ใดก็ได้ แอปพลิเคชันแบบเว็บ ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้อย่างสมบูรณ์ในอุปกรณ์หลากหลายชนิด เพื่อให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพในหลากหลายที่ ข้อมูลของผู้ใช้จะเก็บไว้ในคลาวด์ ไม่ใช่ในคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลทั้งหมดของตน และทำงานผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากที่ใดก็ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกทั้งในที่ทำงาน ที่บ้าน ขณะเดินทางและจากโทรศัพท์มือถือของตน สำหรับเทคโนโลยีแบบเดิม ข้อมูลสำคัญอาจติดค้างอยู่ในซอฟต์แวร์ที่ใช้ได้เฉพาะในอุปกรณ์บางชนิด ทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

2. แผนที่   
 เป็นบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกอย่างหนึ่งของกูเกิ้ล  ความสามารถของโปรแกรมนี้คือการบอกเส้นทางให้ผู้ใช้

3.ปฏิทิน 
เป็นการจัดตารางนัดหมายประจำวัน   ผู้ใช้สามารถกำหนดวันเวลานัดหมายผ่านบริการนี้

4.กูเกิ้ลดอกคิวเมนท์  
 เป็นโปรแกรมที่จัดการด้านเอกสารสำหรับผู้ใช้ไม่ว่าเป็นการพิมพ์เอกสาร  โปรแกรมตารางคำนวณ  โปรแกรมนำเสนอ

5.กูเกิ้ลพลัส  
เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์  เพื่อแข่งขันกับเครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆ


6.บริการอื่นๆของกูเกิ้ลที่น่าสนใจของกูเกิ้ล  เช่น  ไซต์   กูเกิ้ลกุร๊ป   ยูทูบ สกอลาร์